คอร์ดที่หายสาบสูญและ Microtonal music

สวัสดีครับแฟนเพจทุกท่าน วันนี้เรามาพูดถึงการประสานเสียงแบบลึกๆกันบ้างซึ่งสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้คือดนตรีสำเนียงและคอร์ดที่หายสาบสูญไปจากโลกนี้ หลายร้อยปีแล้วครับ
เราจะตามหาและนำมันกลับมาใช้ดัน โดยเริ่มแรกผมจะขอท้าวความถึงดนตรีเอเชีย ในโซนอาหรับและตะวันออกกลาง กันซึ่งหากใครเคยลองฟังสำเนียงหรือเสียงประสานของดนตรีแถบนี้จะค่อนข้างแปลกหูและแปลกใหม่อยู่ไม่ใช่น้อยสำหรับพวกเราที่ดนตรีสำเนียงเยอรมันกลายเป็นความคุ้นเคยกันไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น bayati scale(รูปที่1) ของชาวอาหรับจะมีเสียงแบบนี้ครับ


\relative c' {
\time 8/4 \omit Staff.TimeSignature
d4 eeh f g a bes c d \bar "|"
}
รูปที่1



ยากไปใช้มั้ยงั้นผมลองเอาซีเป็นรูทแทนเช่นสเกล Rast (รูปที่2) จะเป็นเสียงแบบนี้ครับ


\relative c' {
\time 8/4 \omit Staff.TimeSignature
c4 d eeh f g a beh c \bar "|"
}
รูปที่2

ลองฟังดูแล้วจะมีรู้เสียงแหม่งๆดีนะครับ555 scale ไอ้เสียงแหม่งๆนี้แหละมันเรียกว่าระบบ microtone ซึ่งจะสร้างสำเนียงใหม่ๆให้กับคอร์ดและทำนองที่เรานำไปใช้กันและดันไปตรงกับระบบโน๊ตแบบยุคหลายร้อยปีที่แล้วจะนำไปใช้ยังไงมาเริ่มต้นทำความรู้จักกับดนตรีพวกนี้กันก่อนครับ โดยอย่างแรกที่เราต้องรู้คือ Microtone

Microtone คืออะไร?

microtone คืออะไร มันคือคือการแบ่งระบบเสียงที่เล็กกระจิ่วหริวกว่าที่เรารู้จักกันอีกครับ เล็กยังไงนะเหรอ? ผมจะอธิบายให้ฟังง่ายๆ โดยเทียบกับดนตรีสากลปกติแบบปกตินะ
ดนตรีสากลปกติที่เราใช้กันโดยการแบ่งโน๊ตออกเป็นหน่วยวัดที่เรียกว่า cent 1ออคเตฟก็มี 1200 cent 1เสียงเต็ม(tone) ก็จะเท่ากับ 200cent 1tone แบ่งครึ่งก็เรียกว่า semitone (semi=ครึ่ง) ดังนั้น semotone จะเท่ากับ 100 cent และจะมีเครื่องหมาย ชาร์ปกับเฟล็ตเพิ่มเข้ามาครับ สเกลโครมาติกมี 12โน๊ตก็1200cent พอดี ในระบบตั้งเสียงแบบแบ่งเท่าที่แบ่งระยะห่างของแต่ละโน๊ตเท่ากัน (equal temperament) ที่แบ่งโน๊ตออกเป็นส่วน ๆเท่ากันหมดแบบที่บอกมาข้างต้น หรือ100 cent ทุกตัวนั้น ออกแบบมาเพื่อที่จะทรานสโพสไปรูทตัวใหนก็ได้โดยไม่เปลี่ยนสำเนียงของเพลงครับ ระบบที่แบ่งเท่านี้ มันทรานสโพสไปคีย์ใหนก็ได้โดยไม่เปลี่ยนสำเนียง ซึ่งเราๆท่านที่ไก้รับวัฒธรรมดนตรีตะวันตกก็ใช้ระบบนี้ต่อมาจนถึงปัจุบันเลยครับ
แต่ถ้าเราแบ่งย่อยมันออกไปอีกเป็น 50cent ก็ จะเรียกว่า quarter tone ครับที่มันมีชื่อแบบนี้ก็เพราะ มันแบ่ง1tone ออกเป็น 4 ส่วน8ครับ(รูปที่3)

รูปที่ 3

ดังนั้นเมื่อเราแบ่ง 1 tone ออกเป็น4 แล้วอย่างแรกเลยก็คือต้องมีเครื่องหมายกำกับเพิ่มขึ้นมาซึ่งผมได้ใส่มันไว้ในรูปที่3 แล้วครับ และอย่างที่2ก็คือ 1ออคเฟตจะแบ่งเป็น 24 note แทน
หรือจะมี24 โน๊ตนั้นเอง ซึ่งปัจจุบันก็เรียกการแบ่งเสียงแบบนี้ว่า EDO (Equal Divisions of the Octave) ดังนั้นระบบ 12 เสียงจึงถูกเรียกว่า 12EDO และเรียกQuarter tone ว่า 24Edo รูปภาพที่4ครับ
อย่างที่3 คือมันจะต้องเพิ่มชื่อเรียกของขั้นคู่เข้ามาเพิ่มอีกจะได้ขั้นคู่ดังรูปที่5 เพื่อป้องกันความสับสนผมจะไฮไลท์สีเหลืองก็คือขั้นคู่แบบ 12 เสียงเดิมที่ใช้กันนะครับ นี้คือที่มาและที่ไปของระบบ microtone ในข้างต้น

รูปที่4
รูปที่5

คอร์ดเสียงกลมกลืน

คอร์ดเสียงกลมกลืนและเสียงกระด้างนั้นก็มีแนวคิดมาจากฮาร์มอนิคซีรีย์ที่อยู่ในธรรมชาตินั้นเอง โดยฮาร์มอนิคซีรีย์นี้คือองประกอบของเสียง1 ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้มีแค่เสียงเดียวครับ เช่นเสียง A ก็จะมีความถี่อื่นๆซ้อนขึ้นไปอีก ถ้าไม่เชื่อก็ลองเล่นเครื่องดนตรีมาหนึ่งโน๊ตแล้วเปิดดูจาก Spectrum meter จะเห็นว่าเพียงเสียงเดียวจะมีความถี่อื่นๆซ้อนขึ้นไปอีกดังวีดีโอด้านล่างนี้ครับ

ซึ่งความความถี่ที่ซ้อนขึ้นไปนี้เราจะเรียกว่า partials ครับอาจมีไม่กี่partial จนมากถึง 32 partial ก็เป็นได้ ลำดับความดังเบาของ partial จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพของเสียง เช่น เสียง ระนาดกับกีตาร์เล่นโน๊ตตัวเดียวกันแต่ไม่เหมือนกันเพราะมี partials ที่ต่างกันนั่นเอง ซึ่งการกำหนดเสียงกลมกลืนหรือเสียงกระด้างมันก็มาจากแนวคิดหรือลำดับของเสียงใน partials นี่แหละครับ ผมลองยกตัวอย่าง partials ของโน๊ต C2(65.406Hz) มาให้ดูทั้งหมด 16 ลำดับในรูปที่6 ไฮไลท์สีเหลืองก็คือ partials ที่ไม่ตรงกับโน๊ตในระบบแบ่งเสียงเท่านะครับ แต่บางตัวไปอยู่ไกล้กลับ quarter tone แทน ซึ่งปกติการจัดลำดับของเสียงกลมกลืน เสียงกระด้างจะอ้างอิง จาก partials อย่างเช่น คู่กลมกลืนที่สุดก็คือ1 unison หรือตัวมันเองครับรองมาก็คือคู่ 8perfect ซึ่งคือpartials ที่มีสัดส่วน 1:2 นั้นเองครับ ต่อมาคือคู่5perfect มีสัดส่วนคือ 2:3 คู่กลมกลืนอีกคู่คือ คู่4perfect ครับ ที่partials 3:4 ครับ และคู่ 3major ที่สัดส่วน 4:5 ถัดมาอีกคือ คู่3minor ที่มีสัดส่วน 5:6 ครับ จะเห็นได้ว่านี้คือการจัดลำดับเสียงกลมกลืนและเสียงกระด้างที่เราใช้ในเป็นมุมมองของดนตรีตะวันตกครับ นอกเหนือจากนี้จะถูกจัดและได้ยินเป็นคอร์ดเสียงกระด้างเนื่องจากมันไม่สอดคลองกับฮาร์มอนิคซีรีย์นันเองครับ และอีกเพราะเราเปลี่ยนมาใช้การแบ่งโน๊ตด้วยระบบแบ่งเท่าที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งไม่ใช้ระบบที่ตรงตามฮาร์มอนิคในธรรมชาติเหมือนระบบ just intonation แต่อย่างใดครับ

รูปที่6

SubMinor และ Supermajor chord

ตอนนี้เราได้ทราบถึงชื่อเรียกและขนาดของ quater tone กันไปแล้วก็พร้อมที่จะสร้างคอร์ดกันแล้วนะครับเพราะว่าคอร์ดมันมาจากส่วนประกอบของขั้นคู่นั้นเอง ผมเลยเปลี่ยนpartial มาเป็นระดับเสียงใน quartone (รูปที่7)เพื่อให้ดูง่ายขึ้นครับ

รูปที่7


ซึ่งตามฮาร์โมนิคซีรีย์ในธรรมชาติจริงๆดังนั้นหากเราแบ่งโน๊ตออกเป็น Quarter tone ได้เท่ากับว่าเราสามารถขยับโน๊ตเข้าไกล้กับ Harmonic ในธรรมชาติใดอีกยังไงหละครับเช่น จากเดิมคอร์ด C7 แบบเดิมก็คือโน๊ต C,E,G,B ซึ่งโน๊ตB จะเมื่อมองดูอยู่ในลำดับท้ายๆของฮาร์มอนิคเลยครับ ดังนั้นเราจะใช้โน๊ตจาก partial 4,5,6,7 แทนเพราะมันกลมกลืนกว่ากันโดยใช้ Bbจาก partial ที่7 ซึ่งต่ำลง Bb ที่ต่ำลงมา 25% ของ 1tone แต่ว่าผมจะแสดงเป็นจุดทศนิยมแทนนะครับให้อ่านเป็น % หรือคิดเป็นเศษส่วนจาก 1.0 ครับ เนื่องจากว่าผมใมถนัดโปรแกรม excel นั่นเอง555 ก็จะได้คอร์ด C dominant subminor 7 แทน ซึ่งเป็นคอร์ด 4 เสียงแบบกลมกลืนครับ แทนที่มันจะเป็นคอร์ดกระด้างที่ ติดtension จากโน๊ต Bb หรือ หากเป็นคอร์ด Gm ที่มีโน๊ต G,Bb,Dก็แทนได้ด้วย คอร์ด G ฺBb subminor ก็จะได้โกลายเป็นคอร์ด G subminor แทนซึ่งมีเสียงกลมกลืนกัน แทนซึ่งคอร์ดพวกนี้คือจริงๆแล้วจะไปตรงกับเสียงประสานที่บรรพบุรุษเมื่อหลายร้อยปีก่อนใช้ครับ หรืออาจได้ยินจากดนตรีพื้นเมืองอาหรับหรือเปอร์เซีย และได้หายสาบสูญไปเนื่องจากมีระบบตั้งเสียงแบบใหม่เข้ามาเป็นวัฒธรรมหลักของโลกในปัจจุบันนั้นเอง ใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะได้ค้นพบ คอร์ดใหม่ และคอร์ดเก่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนยินดีด้วยครับ หากอยากทราบว่าดนตรีที่เป็น microtonal นั้นเป็นยังไงลองดูคลิปคุณลุง Mohammad Reza Lotfi นัก setar ชาวเปอร์เซีย(อิหร่าน) จากวีดีโอด้านล่างได้เลยครับเขียนมาซะยาวเหยียดกระผมก็ขอจบเรื่องการตามหาคอร์ดที่หายสาบสูญไปไว้เพียงเท่านี้ครับ คราวหน้าผมจะมีเรื่องอะไรแปลกๆมาให้ติดตามกันอีกก็ฝากไลค์แชร์เพจMr Arranger ด้วยนะครับ
สวัสดีครับ.
ฺฺBoxer : Mr Arranger